อย่าโทษแต่สิ่งรอบข้าง

29

[ #อย่าโทษแต่สิ่งรอบข้าง ]

อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ให้สัมภาษณ์ล่าสุดในทำนองว่าไม่ต้องการกลับไปเล่นให้แมนฯยูไนเต็ดอีกต่อไป

สถานะปัจจุบันเขาเป็นผู้เล่นของเซบีย่าก็จริง แต่แค่รูปแบบยืมตัวเท่านั้น ตามสัญญาที่ถูกต้องตามกฎหมายคือนักเตะของแมนฯยูไนเต็ดและจะอยู่จนถึงปี 2024 หรือมากกว่า 2 ปีเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามแม้จะเพิ่งมาเล่นให้เซบีย่าไม่ครบ 2 เดือน แต่รู้สึกประทับใจ สำคัญกว่านั้นคือความสบายใจ ไม่อึดอัดเหมือนตอนอยู่ในอังกฤษ

เขาตั้งธงเป็นศัตรูกับสื่อโดยเฉพาะ เชื่อว่าการนำเสนอข่าวหลายต่อหลายครั้ง ไม่มีมูลความจริงเลย แต่กลับส่งผลกระทบต่อชีวิตของตนอย่างรุนแรง

เรื่องความทุ่มเทจริงจัง กลายเป็นคำถามยอดฮิตมาตลอด ปฏิกิริยาหรือสีหน้าต่างๆ ชี้นำว่า มาร์กซิยาล ไม่มีมุ่งมั่นตั้งใจมากพอ

ประเด็นที่มักถูกโจมตีก็คือ สีหน้าเฉยเมยไร้ความรู้สึก บางครั้งก็เหมือนไม่มีความสุขกับการได้ลงเล่น

ขณะเดียวกันยังเหมือนขี้เกียจอีกด้วย ไม่ค่อยวิ่งไล่กดดันฝ่ายตรงข้าม หากคิดจะเล่นวิธีเพรสซิ่ง คงต้องล้มเลิกไปได้เลย นั่นไม่เหมาะแน่ๆ

สื่อที่ มาร์กซิยาล หมายถึง คงไม่ได้ตีกรอบเฉพาะแค่พวกนักข่าวเท่านั้น แต่บรรดานักวิเคราะห์เกมมากมาย ก็มักแสดงความเห็นออกมาด้านลบเสมอ

“ผมโดนสื่อเขียนลงไปว่าห่วยแตก อาจเพราะเขาไม่รู้จักผมอย่างแท้จริงต่างหาก บางทีเห็นผมแล้วไม่ยิ้มก็ตีความกันไป ทั้งที่เจอหน้าหลายคนผมก็ยิ้มแย้มปกติ”

“ความสำคัญอยู่ที่ผลงานในสนามต่างหาก ผมไม่ยิ้มด้วยเหตุผลต้องการสมาธิ แต่บางคนคิดไปไกลกว่านั้น ซึ่งก็สามารถทำได้อยู่แล้ว”

จากบทสัมภาษณ์ท่อนนี้ มาร์กซิยาล คงต้องการบอกว่า อย่าดูแค่สีหน้าของตนแล้วคิดกันไปต่างๆนานา มันอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย หากจะวัดกันจริง ควรต้องเป็นเรื่องของผลงานมากกว่า

เมื่อมองย้อนกลับมาอีกรอบ ต้องบอกเลยว่านั่นแหล่ะคือปัญหา ผลงานของเขาดีพอแล้วหรือ?

จุดเริ่มต้นมาจากฟอร์มของเขานี่แหล่ะ เอาแน่นอนเอานอนไม่ค่อยได้ ไร้มาตรฐาน ประเภทสามวันดีสี่วันป่วย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยสร้างความประทับใจได้เท่าไรนัก

ถ้าเทียบกับช่วงที่ย้ายมาใหม่ๆ ในฤดูกาล 2015/16 มันแตกต่างราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว

เขามาด้วยค่าตัวที่แพงมากรวมแอดออนส์ด้วยเกือบ 60 ล้านปอนด์ แฟนบอลคาดหวังในระดับหนึ่ง เพราะถือว่าอายุยังน้อย อีกทั้งเป็นต่างชาติ คงต้องให้เวลาปรับตัวปรับใจกันบ้าง

แต่เมื่อได้ลงประเดิมสนาม ลุกจากม้านั่งสำรองไปแทน ฆวน มาต้า ในเกมพรีเมียร์ลีกเจอลิเวอร์พูล ปรากฎว่าซัลโวประตูได้เลย ลากไปยิงในเขตโทษอย่างเด็ดขาด บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นและเยือกเย็น

นั่นคือประตูสำคัญที่ทำให้แมนฯยูไนเต็ดกุมความได้เปรียบ ก่อนคว้าชัย 3-1 ในเกมแดงเดือดยกนั้น

จากนั้น มาร์กซิยาล ก็ใส่เกียร์ห้า เดินหน้าอย่างเต็มสูบ ยกระดับอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเสาหลักแนวรุก มีบทบาทหมดไม่ว่าจะยิงเองหรือแอสซิสต์

ซีซั่นแรกจบลง เขาก้าวไปสู่การเป็นขวัญใจคนใหม่ของแฟนๆ ผลงาน 18 ประตู 11 แอสซิสต์ในทุกรายการ ฟ้องทุกอย่างแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้เสียเวลาอีก

ช่วงดังกล่าวเพิ่งจะอายุแค่ 21 ปี เส้นทางทอดยาวอีกไกล มีโอกาสพัฒนาได้อีกมาก ดังนั้นย่อมถูกตั้งความหวังไว้สูง

ไม่ใช่แค่แมนฯยูไนเต็ดเท่านั้น ยังโยงถึงทีมชาติฝรั่งเศสอีกด้วย มีแววจะเป็นซูเปอร์สตาร์ในอนาคตได้เลย

ไม่น่าแปลกใจซัมเมอร์ 2016 จึงมีข่าวว่าบาร์เซโลน่าและเรอัล มาดริด ต่างสนใจทุ่มหลักร้อยล้านปอนด์เพื่อดึงไปร่วมทีมด้วย

มาร์กซิยาล ทำงานร่วมกับ หลุยส์ ฟานกัล ผู้จัดการทีมได้เป็นอย่างดี แต่มีโอกาสอยู่ด้วยกันแค่ซีซั่นเดียวเท่านั้น

เพราะหลังคว้าแชมป์เอฟเอ คัพเรียบร้อย โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ก้าวมาแทน ซึ่งมันส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขาอย่างที่รู้กัน

สไตล์ของ มาร์กซิยาล ไม่ตอบโจทย์กุนซือโปรตุกีส ซึ่งเน้นให้แข้งตัวรุก ต้องถอยมาช่วยเกมรับ ต้องวิ่งเยอะแบบเท่าตัว ขยันขันแข็ง อย่ากินแรงเพื่อนเป็นอันขาด

แต่ในมุมของเขา กองหน้าหรือตัวรุกริมเส้น บทบาทหลักอยู่ที่การสร้างโอกาสนำไปสู่ประตูไม่ใช่หรือ? โอเคจังหวะที่ควรเล่นเกมรับต้องถอยลงมาบ้าง แต่ไม่ใช่เน้นเกินไป

หาก มูรินโญ่ ไม่โดนปลดซะก่อนในปลายปี 2018 มาร์กซิยาล น่าจะโดนปล่อยในตลาดมกราคม 2019 ไปแล้ว

แม้จะยิงประตูได้เรื่อยๆ มีผลงานโดดเด่นพอสมควร ก็ยังไม่เป็นที่ต้องการอยู่ดี คนไม่ใช่ก็คือไม่ใช่

แต่เมื่อ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เข้ามารักษาการณ์กุนซือในเบื้องต้น สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนอีกครั้ง จนกระทั่งนำไปสู่สัญญาฉบับใหม่ที่ยาวถึงปี 2024 นั่นแหล่ะ

มีข่าวลือเหมือนกันว่า โซลชา ไม่ได้เป็นคนที่ต้องการเก็บไว้โดยตรง แต่ประกาศิตมาจาก เอ็ด วู้ดเวิร์ด หัวหน้าฝ่ายบริหารที่มองว่าอนาคตนักเตะมีสิทธิ์พัฒนาฝีเท้า สร้างมูลค่าได้มากกว่าตอนซื้อมาจากโมนาโก

ที่น่าประหลาดใจก็คือ สโมสรประเคนค่าจ้างให้ถึง 250,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ มันสูงเกินจริงอย่างเห็นได้ชัด

ไม่แน่ใจว่ารายได้มหาศาลเช่นนี้หรือเปล่า ที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้นักเตะขาดแรงจูงใจ เล่นอย่างไรก็มีกินมีใช้ เงินเข้าบัญชีเดือนหนึ่งหลายแสนปอนด์หลังจากหลักภาษีแล้วด้วย

แต่มันชัดแล้วว่าการตัดสินใจขยายสัญญาเมื่อ 3 ปีก่อน คือความผิดพลาดของแมนฯยูไนเต็ดอย่างแท้จริง


รูปภาพ

จากข้อมูลที่ได้มาเชื่อกันว่า ราล์ฟ รังนิก ไม่อยากให้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ย้ายออกจากทีมเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

“เขาบอกผมว่า หากผมซ้อมดีอย่างที่เคยเป็น ก็มีโอกาสจะได้ลงเล่น แต่ผมไม่ต้องการอยู่อีกแล้ว”

มาร์กซิยาล เปิดใจเอาไว้ ยืนยันว่าไม่อยากรอข้างสนามอีกต่อไป มันเหมือนไร้อนาคต เป็นแค่คำปลอบเท่านั้นเอง

ต่อให้เปลี่ยนผู้จัดการทีม ก็ไม่ศรัทธาอีกแล้ว ต้องการไปแสวงหาความท้าทายและโอกาสใหม่มากกว่า

อย่างที่รู้กัน มาร์กซิยาล เริ่มต้นกับเซบีย่าอย่างดีเยี่ยม ก่อนจะมาประสบอาการบาดเจ็บทำให้จังหวะสะดุดลง

แต่ผลงาน 1 ประตู 1 แอสซิสต์เบื้องต้น ต้องยอมรับเลยว่าไม่เลว อย่างน้อยดูตอนอยู่ในสนาม มีชีวิตชีวามากกว่าเดิม

ขณะเดียวกันบางท่อนของบทสัมภาษณ์ผ่านทางเดลี่ เมล พอจะบอกได้เลยว่าตั้งใจจะย้ายออกแบบถาวร ไม่แคร์หรอกกุนซือคนใหม่จะเป็นใคร

สำหรับนักเตะสักคน หากชัดเจนอย่างนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีเลย ไม่ต้องเสียเวลามาเจรจาต่อรองกันอีก

อย่างไรก็ตาม มาร์กซิยาล ควรมองมาที่แฟนบอลแมนฯยูไนเต็ดกันบ้าง พวกเขาตัดสินนักเตะจากผลงานมากกว่าเรื่องอื่นใด

หากจะยืนกรานว่า หน้าไม่ยิ้มแย้มเป็นมิตร ดูขาดความสุข ให้ไปพิจารณาจากผลงานดีกว่า อันนี้มันก็ดูขัดแย้งเลยทีเดียว

เขาได้รับโอกาสเรื่อยๆ แต่ไม่อาจฉกฉวยไม่ได้ จะโทษว่าไม่มีแพสชั่นอีกแล้ว เพราะโดนจับผิดมาตลอดก็ไม่ได้หรอก

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยึดถือความเป็นมืออาชีพ เมื่อคุณรับค่าจ้างก้อนใหญ่ ก็ต้องแสดงให้เห็นว่าคุ้มค่า

เข้าใจว่าเจอกับสถานการณ์ตึงเครียดมามาก ผ่านความลำบากไม่ใช่น้อย

แต่ที่สำคัญควรดูตัวเองด้วย ส่องกระจกความจริง แล้วสะท้อนออกมา อย่าก้มหน้าก้มตาโทษคนอื่นอย่างเดียวเลย


รูปภาพ

Cheerball

แบ่งปัน