เอโต้ สู้เพื่อฝันจากชาติแอฟริกัน

2
Artwork – Preview Revo Thai League Fame

” เอโต้ สู้เพื่อฝันจากชาติแอฟริกัน ”

ไม่กี่วันก่อน ซามูแอล เอโต้ ออกมาทำนายว่าทีมชาติแคเมอรูนของเขา จะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งนี้ได้ และ พวกเขาจะเอาชนะโมร็อกโก อีกหนึ่งชาติจากทวีปแอฟริกาได้ในนัดชิงชนะเลิศ

เอโต้ ตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะแล้ว เขามีความปราถนาอันแรงกล้าที่จะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ เขาเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงมาก และมีฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังภูมิใจในรากเหง้าจากแอฟริกาของเขาอย่างที่สุด เอโต้ เชื่อมั่นมาเสมอว่าฟุตบอลของกาฬทวีปนั้นไม่ได้เป็นรองใครเลย สามารถประสบความสำเร็จในระดับโลกได้แน่นอน

เอโต้ กวาดแชมป์มากมายในฐานะนักเตะ ทำสถิติยิงประตูถล่มทะลาย จะมีนักเตะกี่คนที่คว้า ทริปเปิ้ลแชมป์ ได้กับ 2 สโมสรได้ใน 2 ฤดูกาลติดๆ กัน

สิ่งที่เขาเจอมาในสมัยวัยรุ่นหล่อหลอม เอโต้ ให้แข็งแกร่ง และเชื่อมั่นในตัวเองแบบนี้

เรารู้กันดีว่าเขาดังกับ บาร์เซโลน่า และต่อด้วยอินเตอร์ แต่จุดเริ่มต้นในยุโรปของเขาคือ เรอัล มาดริด

ซามูแอล เอโต้ ฟิลส์ เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลกับทีมอคาเดมี่ท้องถิ่นในดูอาล่า ประเทศแคเมอรูน ที่ชื่อสโมสร คัดจี สปอร์ตส์ อคาเดมี่

ต้นต้นปี 1997 ด้วยวัย 16 ปี เขาก็ถูกเรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งวงการลูกหนังโลก เซ็นมาร่วมทีม แต่แน่นอน ในฐานะดาวรุ่งอายุน้อยจากแอฟริกา เอโต้ จึงเริ่มต้นในทีมเยาวชนไปก่อน

ด้วยการที่ ลา ลีกา ยังคงมีกฎเรื่องโควต้านักเตะนอกอียู (Non-EU) ไม่เกิน 3 คน ยิ่งทำให้โอกาสขึ้นทีมชุดใหญ่ยาก นอกเหนือจากที่เขายังอายุน้อย และโนเนม

ช่วงนี้ เอโต้ เลยโดนส่งไปเล่นให้ทีม เรอัล มาดริด เบ (ทีมสำรอง) ไปก่อน แต่เมื่อทีมสำรองตกชั้นจาก เซกุนด้า (ดิวิชั่น 2) ไปสู่ เซกุนด้า เบ (ดิวิชั่น 3) ซึ่งในตอนนั้นยังไม่อนุญาตให้นักเตะนอกอียู ลงเล่น สุดท้ายเขาโดนปล่อยไปให้ เลกาเนส ยืมตัว

ระหว่างที่เขาอยู่กับเรอัล มาดริด เบ นั่นเอง เอโต้ ได้สัมผัสถึงความไม่เป็นมิตร เขาบอกว่าเพื่อนร่วมทีม หรือโค้ช บางคนแทบไม่อยากมาทักทาย มายุ่งกับเขา

เอโต้ เผยว่า 2 คนที่ดีต่อเขาจริงๆ กลับเป็น ฟาบิโอ คาเปลโล่ เทรนเนอร์ทีมชุดใหญ่และมือขวาอิตาโล่ กัลเบียติ ที่ให้โอกาสเขามาซ้อมกับทีมเรอัล มาดริด ชุดใหญ่ด้วย

ปี 1998/99 คาเปลโล่ ไม่อยู่แล้ว ซึ่ง เอโต้ ได้เล่นให้ทีมชุดใหญ่ ของ มาดริด แค่เกมเดียว แล้วก็โดนปล่อยไปให้ เอสปันญ่อล ยืมตัว แต่ที่นี่เขาก็ได้ลงแค่นัดเดียวเช่นกัน

ปีต่อมา 1999/2000 เขาได้ลงเล่นใน ลา ลีกา 2 นัด กับใน ชปล. อีก 3 นัด และบอลถ้วยอีก 1 นัด ก่อนจะโดนปล่อยยืมตัวอีกรอบ หนนี้เป็น เรอัล มายอร์ก้า “ทีมชาวเกาะ”

ที่ เรอัล มายอร์ก้า นี่เองที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ขณะนั้น มายอร์ก้า มีหนุ่มท้องถิ่นวัย 37 ปีที่มีมันสมองและวิสัยทัศน์ยอดเยี่ยมนามว่า มาเตว อเลมานี่ นั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการเทคนิค และเป็นฝ่ายบริหารด้วย

ปัจจุบัน อเลมานี่ ก็คือผู้อำนวยการฟุตบอลของบาร์เซโลน่า นั่นเอง

กับ มายอร์ก้า เอโต้ได้รับความไว้วางใจ ลงเล่นต่อเนื่อง เขาทำไป 6 ประตูจาก 13 นัด

นั่นทำให้ในฤดูกาล 2000/01 ด้วยวัย 19 ปี เรอัล มายอร์ก้า เลยตัดสินใจควักเงิน 4.4 ล้านปอนด์ เป็นสถิติสโมสร เซ็นสัญญากับ เอโต้ ภายใต้การดูแลของ มาเตว อเลมานี่ ซึ่งขณะนี้ กลายมาเป็นประธานสโมสรเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม มีการเปิดเผย ณ ตอนนั้นว่า เรอัล มาดริด ยังมีเงื่อนไขถือกรรมสิทธิ์ในตัว เอโต้ อยู่ 50% นั่นหมายความว่าหากจะมีการย้ายตัวครั้งต่อไป มาดริด ต้องมีสิทธิ์ในการพิจารณาด้วย

เมื่อกลายเป็นนักเตะ มายอร์ก้า เต็มตัว เอโต้ ก็เริ่มโชว์ฟอร์มถล่มประตูอย่างต่อเนื่อง และพ้องกับในทีมชาติ ที่ เอโต้ สอดแทรกขึ้นมาเป็นตัวหลักของแคเมอรูน และเริ่มลั่นสกอร์ให้แคเมอรูน ต่อเนื่องเช่นกัน

ภายใต้สีเสื้อของ มายอร์ก้า นี่แหละที่ เอโต้ เริ่มโชว์ศักยภาพเต็มที่ เขาบอกว่า เขาอยากประสบความสำเร็จ อยากคว้าแชมป์ อยากมีรายได้ดีๆ อยากเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียง

ดาวยิงทีมชาติแคเมอรูน ยิงพาชาวเกาะ คว้าแชมป์ โกปา เดล เรย์ ในปี 2003

เขามักทำแสบใส่ เรอัล มาดริด เสมอเมื่อเจอกัน เอโต้ ยิง 1 ประตูช่วย มายอร์ก้า บุกไปถล่ม มาดริด 5-1 ในฤดูกาล 2002/03

จากนั้นในฤดูกาลถัดมา เขาทำอีก 2 ประตู ในช่วงท้ายฤดูกาล ทำให้ ทีมชาวเกาะบุกชนะ มาดริด อีกครั้ง 3-2 และเป็นอีกหนึ่งเกมที่ทำให้ทีมชุดชาวชวดแชมป์ ลา ลีกา

ซัมเมอร์ปี 2004 มาถึง ตอนนั้น เอโต้ เพิ่งกดไป 17 ประตูจาก 32 นัดให้กับ มายอร์ก้า มาหมาดๆ เป็นสถิติดาวยิงจากทีมเล็ก ที่ถือว่าสูงมากๆ นั่นทำให้เขากลายเป็นที่ต้องการของตลาดทันที

บาร์เซโลน่า ภายใต้การนำของประธาน โจน ลาปอร์ต้า ติดต่อเข้ามาทันที ในขณะที่ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ก็ใช้สิทธิ์ 50% เดินเข้ามาเพื่อขอซื้อตัวเขากลับไปเป็นกรรมสิทธิ์ของ เรอัล มาดริด แบบเต็มตัว 100% อีกครั้ง

มันเลยกลายเป็นการพูดคุยกันของ 3 ฝ่ายโดย 3 ประธานชั้นยอดคือ ลาปอร์ต้า, เปเรซ และ มาเตว อเลมานี่

การตัดสินใจ ตกเป็นของ ซามูแอล เอโต้

เอโต้ ตัดสินใจเลือกบาร์เซโลน่า ในท้ายที่สุด เพราะตอนนั้น บาร์ซ่า ยื่นข้อเสนอน่าสนใจที่สุดทั้งเรื่องของการเงิน และการันตีโอกาสลงเล่น

ผิดกับทาง มาดริด ที่จะเซ็นเขา ก่อนปล่อยให้ มายอร์ก้า ยืมตัวอีก 1 ฤดูกาล เนื่องจากเวลานั้น โควต้านักเตะนอกอียู ของ มาดริด มันเต็มเอี๊ยด ยัดลงไม่ได้อีกแล้วด้วย

เมื่อเจอแบบนี้ เอโต้ ก็รู้เลยว่า หากเขากลับ มาดริด คงเจอกับสถานการณ์เดิมๆ ที่เคยเจอสมัยเป็นดาวรุ่ง

ทั้งการปฏิบัติต่อเขาที่เหมือนไม่เคารพกัน จนเขารู้สึกว่า มาดริด นั้นไม่ค่อยเห็นค่าของนักเตะแอฟริกันผิวดำ

ทั้งเรื่องของโอกาสลงสนามที่ มาดริด เน้นพวกดาวดังมีชื่อเสียงมากกว่า

สุดท้ายบาร์เซโลน่า ก็ยอมจ่าย 24 ล้านยูโร ให้มายอร์ก้า เพื่อคว้าตัวเขาไปร่วมทีม

ภาพลักษณ์ของ เอโต้ เลยเปลี่ยนไปตลอดกาล เขาคือศัตรูของ มาดริด แบบเต็มตัว

เขายิงกระจุยให้บาร์เซโลน่า ปีแรกกดไป 25 ตุงในลา ลีกา และยิงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่มี แฟรงค์ ไรจ์การ์ด คุมทีมจนมาถึงยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในปี 2008/09

สถิติของ เอโต้ กับบาร์ซ่า คือ 108 ประตูจาก 144 นัดใน ลา ลีกา และรวมแล้ว 130 ประตูจาก 199 นัดในทุกรายการ

ใครเคยดู เอโต้ ในชุดบาร์ซ่า ซึ่งเป็นตอนที่เขาพีค จะเห็นเลยว่า นี่คือหนึ่งในกองหน้าที่ดีสุดในโลกเวลานั้น

แข็งแรง เร็ว สปีดต้นจัดจ้าน จบสกอร์ได้คม เกมใหญ่ทำประตูได้เสมอ แถมเขามีทัศนคติในสนามที่ยอดเยี่ยมคือเต็มที่ทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ แล้วยังขยันช่วยเพรสซิ่ง ช่วยไล่บอลอีกด้วย

กระทั่งปี 2009/10 เอโต้ ก็ย้ายไปเล่นให้ อินเตอร์ มิลาน เมื่อทาง บาร์ซ่า เลือกที่จะคว้าเอา ซลาตัน อิบราฮิโมวิช จากอินเตอร์ สวนทางมาแทนแถมต้องจ่าย 45 ล้านยูโร ให้กับ อินเตอร์ แถมไปด้วย

เอโต้ ประกาศตั้งแต่วันแรกที่ย้ายไปอินเตอร์ เมื่อโดนเปรียบเทียบกับ อิบราฮิโมวิช

เขาบอกว่า เขาคือซามูแอล เอโต้ และไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเขากับใครๆ ผลงาน และแชมป์ที่เขาคว้าได้ที่ผ่านมา มันพิสูจน์คุณค่าของเขาได้แล้ว

มันเป็นเรื่องจริง ปีแรกกับอินเตอร์ เขาก็มีส่วนในการช่วยทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ คว้า 3 แชมป์ทันที และเอาคืน บาร์ซ่า ที่ดูเหมือนจะมองข้ามตัวเขากลายๆ ด้วยการเขี่ยบาร์ซ่า ตกรอบรองฯ ชปล. ได้ด้วย

ต้องบอกว่าหลังจากอินเตอร์ไปแล้ว เอโต้ ดูเหมือนจะเดินหน้าหาเรื่องของการเงินมากกว่าแล้ว

เขาเล่นให้ อันจิ มาคัชคาล่า ทีมที่กำลังรวยจัดๆ ตอนนั้น และเล่นให้เชลซี, เอฟเวอร์ตัน, ซามพ์โดเรีย ในช่วงสั้นๆด้วย

แม้จะอายุ 34-35 แต่ เอโต้ ก็ยังยิงระเบิดในลีกตุรกี เมื่อย้ายมาเล่นให้ อันตัลยาสปอร์ และคอนยาสปอร์

ก่อนที่เขาจะมาแขวนสตั๊ดกับ กาตาร์ เอสซี ในฤดูกาล 2018/19 ด้วยวัย 38 ปี

เส้นทางอาชีพของ ซามูแอล เอโต้ เต็มเปี่ยมไปด้วยการผจญภัย สเปน, อิตาลี, รัสเซีย, อังกฤษ, ตุรกี, กาตาร์

เขาคว้าแชมป์มากมายทั้งระดับสโมสร และกับทีมชาติแคเมอรูน ที่ได้แชมป์โอลิมปิก กับ แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ 2 สมัย

เอโต้ ได้รางวัลส่วนตัวเต็มไปหมด ทั้งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งแอฟริกา, ติดทีมยอดเยี่ยมของ ยูฟ่า และฟีฟ่า, ดาวยิงปิชิชี่, กองหน้าแห่งปีของยูฟ่า, กระทั่ง”แอสซิสต์”มากสุดของ ชปล. ในฤดูกาลหนึ่ง พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้มีดีแต่จบสกอร์

สิ่งที่ เอโต้ ปราถนาในวัยเด็ก เขาทำมันได้ครบถ้วนแล้ว แต่ในฐานะนักเตะตัวแทนจากทวีปแอฟริกา เขายังภาวนาอยากเห็นหนึ่งสิ่ง

เขาอยากเห็นชาติจากแอฟริกา โดยเฉพาะแคเมอรูน ของเขาเอง พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า ฟุตบอลของกาฬทวีปก็ไม่เป็นรองชาติไหนๆ

ปัจจุบัน เอโต้ นั่งแท่นประธานสหพันธ์ฟุตบอลแคเมอรูน เขาต้องการใช้ประสบการณ์ และความสามารถที่มีทั้งหมด ช่วยวงการฟุตบอลในอีกบทบาทหนึ่งเพื่อให้ความฝันนั้นของเขาเป็นจริง

********************

Cheerball

รูปภาพ

แบ่งปัน