[ #จำใจจ่ายค่าโง่ครั้งใหญ่ ]

60

ฤดูร้อนที่จะถึงนี้จะเป็นช่วงเวลาที่แมนฯยูไนเต็ดต้องบันทึกไว้เลยทีเดียว เพราะเหมือนเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสร

นั่นคือการเสียผู้เล่นแบบฟรีเอจ้นท์หรือไม่ได้ค่าตัวเป็นจำนวนมากสุด แข้งเหล่านี้หมดสัญญาและไม่น่าจะมีขยายเพิ่มออกไปอีก

ไล่ตั้งแต่ ปอล ป็อกบา , เจสซี่ ลินการ์ด , ฆวน มาต้า , เอดินสัน คาวานี่ และ ลี แกรนท์ ซึ่งจะครบเทอมตามกำหนดในเดือนมิถุนายน

ส่วน เนมานย่า มาติช ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว สัญญาเหลือ 1 ปีก็จริง หมดในซัมเมอร์ 2023 แต่จะยกเลิกเลยเมื่อจบฤดูกาล นั่นหมายความว่าจะต้องอำลาทีมอีกคน

รวมทั้งสิ้น 6 คนที่แมนฯยูไนเต็ดจะต้องยอมปล่อยไป แบบไม่ได้เงินค่าค่าตัวเลยสักเพนนีเดียว

ว่าไปแล้วมันสะท้อนถึงความล้มเหลวในเรื่องตลาดซื้อขายนักเตะของสโมสรในช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจนมาก โดยเฉพาะการทุ่มทุนคว้า ป็อกบา กลับมาในปี 2016 จนเป็นสถิติสโมสร

เงินจำนวนมูลค่า 89 ล้านปอนด์ ถูกโอนเข้าบัญชีของยูเวนตุส ท่ามกลางความคาดหวังมหาศาลว่า รีเทิร์นของกองกลางเฟร้นช์ จะกลายเป็นปรากฏการณ์ ช่วยนำทีมกลับมาผงาดอีกครั้ง

แต่บทสรุปอันแสนเศร้าคือ ป็อกบา ไม่อาจแบกรับภารกิจได้เลย แค่มาสร้างความหวือหวา เป็นสีสันบ้างประปราย ซึ่งส่วนมากเป็นเรื่องนอกสนามซะมากกว่าอีกที่ขโมยซีน

เขาถูกพูดถึงเรื่องทรงผมใหม่ที่เปลี่ยนแทบทุกเดือน ท่าแดนซ์พิสดารที่อัพคลิปลงทางโซเชี่ยล เสื้อผ้าอาภรณ์ที่บ่งบอกความเป็นผู้นำแฟชั่น สิ่งเหล่านั้นดูเหมือนจะกลายเป็นเอกลักษณ์ของเขา มากกว่าผลงานในสนาม

ค่าตัว 89 ล้านปอนด์ บวกค่าจ้างอีก 290,000 ปอนด์ที่แมนฯยูไนเต็ดต้องจ่ายมายาวนานต่อเนื่อง 6 ปีเต็ม ไม่นับโบนัสบางส่วน ลองคำนวณดูแล้วกันว่าคอร์สของ ป็อกบา ตกทั้งหมดเท่าไร แล้วได้อะไรกลับคืนมาบ้าง

เราไม่รู้แน่ชัดว่าดีลของ ป็อกบา เป็นความตั้งใจของบอร์ดบริหาร ซึ่งต้องการสร้างมูลค่าการตลาดไปในตัวหรือ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องการมาร่วมทีมเอง แต่นี่คือดีลล้มเหลวสุดครั้งหนึ่ง ตั้งแต่แมนฯยูไนเต็ดก่อตั้งทีมมาเลย

ส่วนคนอื่นๆอย่าง คาวานี่ ได้มาฟรีก็จริงเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ทว่าก็ต้องลงทุนค่าจ้างก้อนโต 250,000 ปอนด์ต่อวีก ตกเดือนละ 1 ล้านปอนด์ ถามว่าคุ้มค่าหรือเปล่า ก็คงไม่ถึงขั้นจะพูดอย่างนั้น

ฤดูกาลแรกมาดีมาก ตะบันตาข่ายเป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะช่วงท้ายที่มีอิทธิพลอย่างสูง จนมีเสียงอ้อนวอนจากแฟนบอลให้ยืดสัญญาอีกปี เลยยอมใจอ่อน

มาถึงซีซั่นนี้ คาวานี่ ดร็อปลงมาก สภาพร่างกายคือปัญหาใหญ่ บาดเจ็บถี่ยิบ บางครั้งมีขอวันหยุดพิเศษเพิ่มอีก จนแฟนบอลเริ่มไขว้เขว ศรัทธาที่เคยมีลดน้อยลง พร้อมคำถามว่า เขาทุ่มเทให้ทีมมากจริงหรือ?

ดูแววแล้วไม่มีฤดูกาลที่ 3 ค่อนข้างแน่ คาวานี่ กำลังจะกลายเป็นอดีตอีกคน

ในขณะที่ มาต้า ซื้อมาเกือบ 40 ล้านปอนด์ ตั้งแต่มกราคม 2014 พร้อมมวลความหวังก้อนใหญ่เช่นกัน เพราะก่อนเซ็นสัญญา ผลงานของเขาในสีเสื้อเชลซีผุดผาดเปล่งปลั่ง ฟาดรางวัลแข้งยอดเยี่ยมประจำ 2 ซีซั่นสองสมัยรวด

บทบาทของ มาต้า คือเพลย์เมคเกอร์ ชัดเจนจากจำนวนแอสซิสต์และสถิติการสร้างโอกาส แต่พอมาอยู่แมนฯยูไนเต็ดแล้วแทบไม่หลงเหลือคราบไคลจากเชลซีเลย เหมือนกลายร่างเป็นอีกคน

ไม่ว่าจะเป็น เดวิด มอยส์ , หลุยส์ ฟานกัล , โชเซ่ มูรินโญ่ , โอล่า กุนนาร์ โซลชา กระทั่งมาถึงยุค ราล์ฟ รังนิก ไม่มีบอสคนไหนใช้ประโยชน์ได้อย่างที่ควรจะเป็นเลย

ทั้งที่นี่ไม่ใช่ผู้เล่นที่โดดเด่นเรื่องฝีเท้าเท่านั้น ทัศนคติยังยอดเยี่ยมอีกต่างหาก ช่วยเสริมภาพลักษณ์สโมสร รวมทั้งเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับแข้งรุ่นน้อง

ท้ายที่สุดก็ต้องเตรียมปล่อยไปฟรีในมิถุนายนที่จะถึง อุตส่าห์ยื้อไว้ด้วยข้อผูกมัดสัญญา แต่นั่นเหมือนอารมณ์ของความเสียดายมากกว่า

เนมานย่า มาติช คืออีกรายที่ยืนยันมั่นเหมาะผ่านทางเว็บไซต์สโมสรไปแล้วว่า จบฤดูกาลนี้ เขาจะย้ายออกจากทีมเลย เป็นการตกลงกันเรียบร้อย ด้วยความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย

สัญญาเขาเหลืออีก 1 ปีด้วยกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหากต้องการฉีกซะ ยอมทิ้งค่าจ้างวีกละ 120,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เพราะน่าจะเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ คงไม่ได้อยู่ในแผนของ เอริก เทนฮาก กุนซือคนใหม่แน่

มาติช เพิ่งขยายสัญญาเมื่อกรกฎาคม 2020 หรือเกือบ 2 ปีก่อน โซลชา ดูชื่นชอบเป็นการส่วนตัว อยากซื้อประสบการณ์และความเยือกเย็น แต่กลับปล่อยให้มีสถานะเป็นแค่อะไหล่ซะมากกว่า

หากคิดไว้แล้วว่าจะขยายสัญญาเพื่อมานั่งสำรอง ควรจะปล่อยไป เพราะด้วยเรตค่าจ้างนี้ดูจะสูงเกิน ถึงเวลาเกมสำคัญจริงก็เลือกใช้ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ กับ เฟร็ด มากกว่า

เจสซี่ ลินการ์ด คืออีกคนที่น่าจะนับถอยหลัง สถานะเป็นอดีตผู้เล่นแมนฯยูไนเต็ดอย่างเป็นทางการ วัดจากสถานการณ์ปัจจุบัน แทบไม่มีโอกาสจะได้ต่อสัญญาเลย

เกมล่าสุดซึ่งเป็นนัดสุดท้ายที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดในฤดูกาลนี้ ในฐานะเด็กที่เติบโตมาจากอะคาเดมี่ตั้งแต่ไม่ถึง 10 ขวบ เขามีชื่อเป็นสำรอง นั่นยังไม่ถือว่าเซอร์ไพรส์ เพราะช่วงหลังก็ต้องนั่งรอโอกาสเกือบตลอด

แต่แทนที่จะถูกเปลี่ยนลงมาเพื่อร่ำลาแฟนบอลอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ยุติความสัมพันธ์ที่ยืนยาว 20 ปี กลับไม่ถูกเลือก รังนิก ตัดสินใจใช้งาน ฟิล โจนส์ กับ คาวานี่ ซึ่งคู่นี้ก็น่าจะเปิดหมวกลาด้วย

นั่นทำให้ ลูอี้ สก็อตต์ พี่ชายของ ลินการ์ด ออกมาเล่นงานสโมสรและ รังนิก ที่มองข้ามน้องชายของตน ผู้ซึ่งต่อสู้เพื่อทีมและเสียสละมาตลอด แต่ต้องมาเจอวิธีปฏิบัติเช่นนี้

แฟนบอลหลายคนไม่เข้าใจว่าทำไม บอร์ดแมนฯยูไนเต็ดหรืออาจจะเป็น โซลชา ที่ตัดสินใจเก็บ ลินการ์ด เอาไว้ ไม่ยอมขายถาวรให้เวสต์แฮม ทั้งที่นักเตะกำลังฟอร์มเข้าฝัก

พอคัมแบ็กก็เหมือนเดิมเลย ลงเล่นแทบจะนับจำนวนนาทีได้ สำรองสมบูรณ์แบบ กลับสู่โลกอันโหดร้าย

หากปล่อยตอนนั้นน่าจะได้ค่าตัวสัก 10-15 ล้านปอนด์ ไม่ต้องมาจ่ายค่าจ้างอีก 75,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เซฟงบประมาณได้อีกก้อน

มันเป็นการตัดสินใจของแมนฯยูไนเต็ด ที่ไม่มีใครได้ประโยชน์เลย ต่างฝ่ายต่างเสียทั้งคู่ ไม่เข้าใจเลยว่าคิดอะไรอยู่กันแน่

นี่ยังไม่นับ ฟิล โจนส์ , เอริก ไบยี่ และ อารอน วาน บิสซาก้า 3 แนวรับที่มีแนวโน้มว่าจะโดนปล่อยด้วยเหมือนกัน

สองคนแรกแมนฯยูไนเต็ดต่อสัญญา ท่ามกลางความงุนงงสงสัย แทบไม่ค่อยได้ใช้งาน ควรจะขายทิ้งแล้วไปหาคนที่ใช่มาทดแทน

รายหลังหนักสุดจ่ายบ้าเลือด 50 ล้านปอนด์ แต่คุณภาพนักเตะไม่ถึงขั้นนั้นเลย เตรียมกระเป๋าฉีกแน่ๆ ขายทอดตลาดยังไงก็ขาดทุนยับ

น่าแปลกใจมาก หลายเคสที่แฟนบอลหรือคนนอกดูออก แต่ทำไมบอร์ดบริหารถึงทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ซึ่งผลลัพธ์มันก็อย่างที่เราเห็นกัน

หากไปครบตามรายชื่อที่ว่าไว้ น่าจะเกือบ 10 คนเลยทีเดียวหรืออาจน้อยกว่านั้นนิดหน่อย ถือเป็นการผ่าตัดใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

พร้อมทั้งเป็นการสูญเสียมากสุดในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะมองในแง่ของมูลค่า ราคาหรือเวลา

ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับทีมอย่างแมนฯยูไนเต็ด

——————–

รูปภาพ

Cheerball

แบ่งปัน