ดานโญ่ เซียก้า : จากแข้งแอฟริกันโนเนม สู่ตำนานกิเลนผยอง
“ยอมรับตามตรง ผมเคยต้องการเล่นให้ทีมชาติไทย เพราะผมอยู่ที่นี่มาก็เกือบ 10 ปีแล้ว”
จากชีวิตของเด็กชายที่เกิดและเติบโตมาในไอวอรี่ โคสต์ ประเทศทางทิศตะวันตกของแอฟริกา ที่ครอบครัวมีฐานะยากจน สู่การย้ายถิ่นฐานกว่าหมื่นไมล์มายังเมืองไทย
ชีวิตใหม่ของ “ดานโญ่ เซียก้า” เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาค้าแข้งในประเทศไทยเริ่มสานฝันของตัวเองสู่การเป็นแข้งอาชีพ จนในที่สุดเขาก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นตำนานสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด
ติดตามเรื่องราวของจอมทัพชาวไอวอรี่ โคสต์ กับชีวิตที่ผลิกผันจากเด็กยากจนไม่มีรองเท้าใส่สู่การเป็นตำนานแข้งไทยลีกไปพร้อมกันที่ Think Curve – คิดไซด์โค้ง
![](http://digitalpress.fra1.cdn.digitaloceanspaces.com/b7uv0cn/2024/05/528679_496451690379614_1760663538_n.jpg)
ชีวิตเริ่มที่แอฟริกา
หากจะรับรู้เรื่องราวของ ดานโญ่ เซียก้า ก็ต้องย้อนไปถึงสมัยที่ยังอยู่ในแอฟริกา อันเป็นถิ่นฐานของเขากันเสียก่อน
ก่อนจะกลายมาเป็นแข้งตำนานไทยลีกชีวิตของ ดานโญ่ วัยเด็กมีครอบครัวฐานะยากจนพ่อและแม่ไม่สนับสนุนให้เขาเล่นฟุตบอลเพราะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระและไม่มีประโยชน์ แต่ยังโชคดีที่เขามีพี่ชายเป็นนักฟุตบอลทำให้ได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสตร์ลูกหนัง
ด้วยเหตุนี้ทำให้ ดานโญ่ ซึบซัมการเล่นฟุตบอลมาจากพี่ชายคนโต อย่างไรก็ตามชีวิตที่ ไอวอรี่ โคสต์ นั้นค่อนข้างยากลำบากเนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจนการจะซื้อรองเท้าฟุตบอลให้สักคู่คงไม่ต้องพูดถึง แล้วยิ่งสนามฟุตบอลในประเทศเป็นดินแดงทำให้เขาต้องเตะบอลเท้าเปล่า
“มีบางช่วงที่เราไม่มีตังค์ซื้อรองเท้าเตะบอลเลย เล่นบอลที่ไม่ได้ใส่รองเท้าเพราะส่วนมากที่แอฟริกาประมาณ 70% มีแต่คนจนยากมากที่จะมีตังค์ไปซื้อรองเท้า” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว
และแล้วโอกาสครั้งสำคัญของชีวิตก็มาถึงเขาใช้เท้าเปล่าเปลือยทดสอบความสามารถจนได้เข้าไปอยู่อะคาเดมีของ “JMG” สาขาไอวอรี่ โคสต์ ที่สร้างนักเตะดังระดับโลกอย่าง โคโล ตูเร่ ,เอ็มมานูเอล เอบูเอ้ สองปราการหลัง “ปืนใหญ่” อาเซน่อล รวมถึง ดิดิเยร์ โซโกรา แข้งดังในลีกเอิง และตำนาน สิงห์บูล อย่าง ดิดิเยร์ ดร็อกบา
![](http://digitalpress.fra1.cdn.digitaloceanspaces.com/b7uv0cn/2024/05/Jmg-academy.png)
แม้ศักยภาพฝีเท้าจะไม่ถึงขั้นไปเล่นในลีกยุโรป แต่เขาก็มีดีที่ได้ลงเล่นให้กับทีมดังในลีก ไอวอรี่ โคสต์ อย่าง เซเว สปอร์ต เดอซานเปโตร รวมถึงเคยติดทีมชาติ ไอวอรี่ โคสต์ ตั้งแต่ U-17,18,19,20 ปี ก่อนแยกทางกับทีมเพราะแนวทางไม่ตรงกัน
“มีทีมจากเบลเยี่ยมสนใจเรา แต่สัญญายังเหลืออยู่กับสโมสร 6 เดือนผู้ใหญ่ไม่ยอมปล่อยเราไป แล้วเรารู้สึกไม่โอเคจากนั้นเขาเอาสัญญามาให้เซ็น เราไม่ยอมเซ็นแล้วก็แยกย้าย” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว
สู่ถนนลูกหนังเมืองไทย
ด้วยการชักชวนของเพื่อนซี้อย่าง “อากาซู” ที่เข้ามาค้าแข้งที่ประเทศไทยกับสโมสรเมืองทองฯก่อนแล้ว และต้องการที่จะหาความท้าทายใหม่กับ บีอีซี เทโร ศาสน สมัยนั้น ทำให้การมาของ ดานโญ่ ครั้งนี้เหมือน “ตัวตายตัวแทน”
“ตอนที่เพื่อนติดต่อมา ผมไม่ได้คิดอะไรมากเลย อันนี้เป็นโอกาสที่ดีผมจึงตัดสินใจมาที่นี่”
“จริง ๆ ตอนแรกไม่รู้จักประเทศไทยนะที่รู้ได้ยินสมัยก่อนแบบ คนแอฟริกาชอบเรียกว่าบางกอกมาซื้อของไปขายมาซื้อเสื้อผ้าไปขาย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินนะ” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว
![](http://digitalpress.fra1.cdn.digitaloceanspaces.com/b7uv0cn/2024/05/271693_238211902870262_4746626.jpg)
เมื่อได้เข้ามาอยู่ในดินแดนใหม่ การปรับตัวเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรม ภาษา อาหาร ถือเป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น และด้วยการที่เจ้าตัวไม่เก่งเรื่องภาษาอังกฤษทำให้ต้องเริ่มต้นจากการใช้ภาษา “ฟุตบอล” ในการสื่อสารกับเพื่อนเป็นอย่างแรก
ยุคนั้นนักเตะจากแอฟริกากำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะค่าเหนื่อยไม่แพง แถมคุณภาพดี ดังนั้นการมาของ ดานโญ่ สโมสรตั้งความหวังในตัวเขาไม่น้อย เพราะ กิเลนผยอง ในเวลานั้นยังอยู่ในยุคเริ่มต้นบนลีกอาชีพที่กำลังฝ่าฟันอยู่ในดิวิชั่น 1 (T2)
การมาของเขาสร้างความประหลาดใจให้กับ “โรเบิร์ต โปรคูเรอร์” ผู้จัดการทีมของกิเลนผยอง ณ เวลานั้นเพราะแทบไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวก็สามารถเล่นร่วมกับทีมได้ดี
![](http://digitalpress.fra1.cdn.digitaloceanspaces.com/b7uv0cn/2024/05/432995763_408532701933059_3609661687019850780_n.jpg)
“นี่เป็นช่วงที่ผมรู้สึกใช้ชีวิตแบบนักฟุตบอลอาชีพจริง ๆ เพราะกองเชียร์เริ่มมาที่สนาม คนเริ่มรู้จักเรา เวลาเราชนะ เราดูกองเชียร์ด้วยเราก็มีความสุขดี ก็ต้องปรับตัวเพราะว่าที่นี่ดูเป็นบอลอาชีพมากขึ้น” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นกำลังหลักพาทีมสร้างประวัติศาสตร์เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดครั้งแรกในปี 2009 ก่อนจะต่อยอดความสำเร็จคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก ทันทีตั้งแต่ปีแรกที่เลื่อนชั้น กับผลงานยิง 10 ประตู รั้งอันดับ 3 ทำเนียบดาวซัลโวในฤดูกาลนั้น
“ปีแรกที่เราเป็นแชมป์ ผมเห็นคนร้องไห้ นี่เป็นความสุขของเรานะ ทุกครั้งที่นั่งดูบอลเราชนะ เรายิงเข้า คนดีใจ” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว
หลังประสบความสำเร็จบนลีกสูงสุดสโมสรมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทีม ผู้เล่นฝีเท้าดีมีชื่อเสียงระดับทีมชาติเริ่มเข้ามา และต่างชาติถูกคว้ามาเสริมทัพไปพร้อม ๆ กับมาตรฐานของ เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ยกระดับสู่ยักษ์ใหญ่ไทยลีก ทว่า ดานโญ่ ยังคงยืนโดดเด่นในแผงมิดฟิลด์ และเป็นตัวเลือกแรกเสมอ รวมถึงได้รับโอกาสสวมปลอกแขน “กัปตันทีม” อีกด้วย
![](http://digitalpress.fra1.cdn.digitaloceanspaces.com/b7uv0cn/2024/05/183234_198647143493405_4975260_n.jpg)
สำหรับ ดานโญ่ เมืองทอง เปรียบเสมือน “บ้านหลังที่สอง” ทุกนาทีในสีเสื้อลงเล่นด้วยความทุ่มเทแพชชั่นเกินร้อยเสมอไม่นานก็กลายเป็นขวัญใจแฟนกิเลนผยองได้ทันที ถัดมาในปี 2010 เขามีส่วนนำต้นสังกัดป้องกันแชมป์ไว้ได้ซึ่งถือเป็นแชมป์ไทยลีกสมัยที่ 2 ของเขากับสโมสร
แต่ปีถัดมา 2011 กลับต้องเสียแชมป์ให้ บุรีรัมย์ พีอีเอ ทีมคู่แค้นที่เริ่มต้นสร้างความยิ่งใหญ่เป็นมหาอำนาจลูกหนังทีมใหม่ของไทย
อย่างไรก็ตามในปี 2012 เป็นปีที่ “กิเลนผยอง” ทวงคืนบัลลังก์แชมป์อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยขุมกำลังผู้เล่นชั้นยอดที่ประสานงานกันยอดเยี่ยม แดนกลางมี ดานโญ่ เซียก้า ยืมบัญชาเกม อีกทั้งการมาของ มาริโอ ยูรอฟสกี้ เข้ามาเติมเต็มเกมรุกได้อย่างลงตัว ภายใต้การคุมทัพของ “สลาวิซา โยคาโนวิช” กุนซือชาวเซอร์เบีย
“ปี 2012 ผมว่าเป็นปีที่ผมฟอร์มระดับผมรู้สึกว่าสูงถึงขนาดนี้หมายความว่า คุณเก่งแล้ว ปีนั้นเราไม่ได้แพ้ใครด้วย และเราเล่นดีมากชนะตลอดเวลาทำยังไงยากแค่ไหน พวกเราก็ชนะ” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว
ปี 2012 ผลงานตลอดการลงเล่นให้ กิเลนผยอง เขาคือฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จากการลงเล่น 34 นัด ช่วยเมืองทองเก็บชัยชนะ 25 เสมอ 9 ไม่เคยแพ้ใคร พร้อมทวงคืนบัลลังก์แชมป์อย่างยิ่งใหญ่จาก บุรีรัมย์ ในฐานะแชมป์ไร้พ่ายทีมแรก นอกจากนี้เขายังลงเล่นให้ทีมครบ 100 นัด และถูกยกย่องเป็น “ตำนานสโมสร”
ตลอด 7 ปี ในสีเสื้อ เมืองทองฯ ดานโญ่ เซียก้า ช่วยทีมคว้าแชมป์ไทยลีก 3 สมัยในปี 2009, 2010, 2012 พ่วงด้วยแชมป์พระราชทาน ก. ในปี 2010 จากนั้นก็ย้ายไปร่วมทีม อินทรีเพื่อนตำรวจ,ขอนแก่น ยูไนเต็ด และ บางกอก เอฟซี โดยสองทีมหลังเจ้าตัวไม่ได้เล่นเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังจนตัดสินใจแขวนสตั๊ดในเวลาต่อมา
“คุณมาประเทศวันแรกไม่มีใครรู้จัก คุณมาทำเต็มที่ให้สโมสร คนรู้จักคุณ แล้วก็เขาอยากให้ติดทีมชาติอีก นี่แหละที่ผมรู้สึกว่าเป็นประเทศที่ยอมรับเรา ทำให้เรามีชื่อเสียงที่ทำให้เราเป็นสิ่งที่เราเป็นวันนี้ เป็นประเทศที่เรารักมากอยากใช้ชีวิตที่นี่ตลอดไป เพราะเจอคนดีมากช่วยเราตลอด”
“ผมเคยนั่งคิดฝันว่า ผมใส่เสื้อทีมชาติไทย เคยฝันว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้แต่ฝันไม่ได้เป็นเรื่องจริงไม่เป็นไร ผมรักประเทศนี้และจะรักตลอดชีวิต” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว
จากในสนามสู่บทบาทข้างสนาม
ดานโญ่ เซียก้า เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของนักฟุตบอลอาชีพที่ประสบความสำเร็จอย่างมากจากแอฟริกาที่ต้องเผชิญความยากลำบาก ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับอาชีพในไทยจนถูกยกย่องเป็น “ตำนานไทยลีก”
เขาไม่เคยลืมบุญคุณของ เมืองทอง ที่ให้โอกาสเข้ามาค้าแข้งในประเทศไทย อีกทั้งสโมสรยังให้การสนับสนุนในตัวเขากับบทบาทการเป็น “โค้ช”
![](http://digitalpress.fra1.cdn.digitaloceanspaces.com/b7uv0cn/2024/05/253890285_4837895406235199_5255232833288583574_n.jpg)
“เราคุยกับสโมสรแล้วบอกว่า ถ้าคุณเล่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณเป็นคนที่เต็มที่ให้กับสโมสรแห่งนี้ คุณเป็นคนที่ทำตลอดเวลาเพื่อสโมสรแห่งนี้ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เราดึงคุณมาเป็นสต๊าฟฟ์โค้ชก็ได้ไม่มีปัญหา” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว
“ผมได้รับโอกาสที่ดีมากในการเป็นโค้ช แม้ว่าตัวผมเองจะไม่มีไลเซนต์ในการเป็นโค้ช แต่ด้วยประสบการณ์ที่รับใช้ทีมมานาน สิ่งนี้แหละที่ผู้บริหารทีมอยากให้นำเอามาสอนนักเตะเมืองทอง”
ปัจจุบัน ดานโญ่ เซียก้า รับบทบาทเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนของ เมืองทองฯ กำลังสร้างเลือด กิเลนผยอง ยุคใหม่
ถึงแม้จะปิดฉากเส้นทางค้าแข้งไม่สวยงามนัก แต่วันนี้ ดานโญ่ เซียก้า หวนกลับสู่บ้านหลังเก่า และพยายามถ่ายทอด DNA กิเลนฯ สู่แข้งรุ่นใหม่เพื่อคืนความสำเร็จของสโมสรเหมือนยุคสมัยของเขาที่เคยสร้างชื่อ และเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง
ดานโญ่ เซียก้า ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของนักฟุตบอลต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยแล้วประสบความสำเร็จ ก่อนก้าวขึ้นมาเป็น “ตำนานเมืองทอง” จนถึงทุกวันนี้
เขาไม่เคยลืมถึงความยากลำบากในวัยเด็ก และนั่นได้กลายเป็นหนึ่งในแนวคิดสำหรับการตอบแทนสโมสร เมืองทอง ที่ให้โอกาสเขา โดย ดานโญ่ เป็นหนึ่งในโค้ชเยาวชนของอะคาเดมี กิเลนผยอง ชุดเล็ก พร้อมเป้าหมายในการพัฒนาเยาวชนสู่ชุดใหญ่
อย่างไรก็ตามตัวเขามองว่าเด็กไทยมีโอกาสเยอะมากทั้งในเรื่องของ สนาม, อุปกรณ์, รองเท้า และสิ่งอำนวยต่าง ๆ ที่มากกว่าเด็กประเทศอื่น แต่สิ่งที่เด็กไทยยังขาดนั่นก็คือเรื่องของ “ทัศนคติ” ในการเล่นฟุตบอล
“ตอนผมอยู่ แอฟริกา คนที่นั่นเกิน 80% เกิดมาในครอบครัวที่ไม่มีตังค์ แต่เด็กไทยส่วนใหญ่ที่เล่นฟุตบอลเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะระดับนึง ทำให้ความมีวินัยความพยายามแตกต่างกันกับเด็กที่อื่น”
“สิ่งที่อยากบอกเด็กไทยว่า ถ้าเราตัดสินใจว่าอยากเป็นนักฟุตบอลบางเรื่องก็ไม่ควรจะทำ เช่น นอนดึก กินเบียร์ดื่มเหล้า ไม่ได้บอกว่าคนกินเบียร์กินเหล้าเล่นไม่ดี แค่อยากจะบอกว่าบางเรื่องถ้าเราหลีกเลี่ยงได้น่าจะดีกว่า เพราะว่าชีวิตนักฟุตบอลสั้นมาก”
“เมื่อก่อนมีอะคาเดมีน้อยมากถ้าเทียบกับตอนนี้ คุณเล่นบอลแปปเดียวก็ 25-26 แล้วทุกคนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอายุเริ่มเยอะเเล้วทุกคนเริ่มแก่แล้วเพราะเด็กรุ่นใหม่เริ่มเยอะขึ้นแล้ว”
จากการตระหนักถึงปัญหาของเยาวชนไทย ทำให้ ดานโญ่ อยากรณรงค์ให้เด็กไทยมีความตั้งใจมากกว่านี้ รวมถึงอยากที่จะถ่ายทอดทัศนคติของตัวเองเพื่อให้เยาวชนพัฒนาตัวเอง
![](http://digitalpress.fra1.cdn.digitaloceanspaces.com/b7uv0cn/2024/05/254120390_4837895782901828_3323413097775643666_n.jpg)
“สิ่งแรกที่อยากให้เด็กไทยปรับคือเรื่องของ วินัย เวลา โดยเฉพาะเรื่องของการซ้อม อยากให้ตอนซ้อมจริงจังเหมือนแข่งกัน”
“ต้องยืน 11 ตัวแรกให้ได้ถ้าคุณไม่เก่งจริงคุณไม่มีวันยืน 11 ตัวแรกได้อยากให้เด็กไทยมองแบบนี้เวลาซ้อมเวลาเล่นอยากให้ตั้งใจตลอดเวลาต้องมีวินัยและสมาธิตลอดเวลา”
“เรามีเวลาซ้อมแค่ 2 ชม. ทำไมเรามีสมาธิ 2 ชม.ไม่ได้ หลังจากนั้นอยากจะทำอะไรก็ไปทำ
สุดท้ายแค่อยากจะบอกเด็กไทยว่าการที่เรามีครอบครัวที่คอยซัพพอร์ต และสนับสนุนเราในทุก ๆ ด้านควรจะทำให้เต็มที่เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีกันทุกคน
“ผมอยากบอกเด็กไทยที่อยู่ในอะคาเดมี เห็นพ่อแม่มาส่งซ้อมตลอดเวลารอซ้อมเสร็จแล้วก็พาไปกินข้าว หรือไม่ก็ซื้อรองเท้าแพง ๆ ให้ ดูพ่อแม่จริงจังกว่าเด็ก ดานโญ่ เซียก้า ให้สัมภาษณ์กับทีมงานคิดไซด์โค้ง
“นั่นหมายความว่าอยากให้เด็กทุกคนทำเต็มที่เมื่อได้รับโอกาสที่ดีแบบนี้แล้ว”
#Feature #ไทยลีก #บอลไทย #ชลบุรีเอฟซี #ฟุตบอลไทย #บอลไทยยังไงก็คิดไซด์โค้ง