เบล ไหวอย่างนี้ไปไหนดี?

31

ชาวเวลช์ได้เฉลิมฉลองกันอย่างเต็มที่กับความสำเร็จเที่ยวล่าสุด ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกครั้งแรกในรอบ 64 ปี

หนสุดท้ายที่ได้ร่วมสังฆกรรมเวิลด์คัพ ต้องย้อนไปไกลถึงปี 1958 หลายต่อหลายคนยังไม่ทันเกิดด้วยซ้ำ มันนานซะจนลืมไปว่าครั้งหนึ่งทัพมังกรแดงเคยไปถึงจุดนั้นด้วย

ช่วง 7-8 ปีหลังสุด ต้องยอมรับเลยว่าเวลส์แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างน่าทึ่ง เราได้เห็นพัฒนาการต่างๆอย่างชัดเจน

พวกเขาฝ่าด่านไปเล่นรอบสุดท้ายในยูโร 2016 เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เป็นสัมผัสแรกที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทัวร์นาเมนต์ ก่อนหน้านั้นสุดเส้นทางแค่รอบคัดเลือกมาตลอด

การเข้าไปเล่นว่ายากแสนยากแล้ว แต่เวลส์ทำได้ดีกว่านั้น เพราะหักปากกาเซียนกรุยทางไปถึงรอบรองชนะเลิศ จนแฟนบอลแทบจะหยุดหายใจด้วยความตื่นเต้นกันเลยทีเดียว

จากนั้นในยูโร 2020 ที่เลื่อนมาหวดกันเมื่อกลางปีก่อน ก็ยังรักษามาตรฐานผ่านไปลุยได้สำเร็จ แล้วยังทะลุถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายอีกต่างหาก ช่วยย้ำหัวหมุดว่า ครั้งก่อนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มาจากความสามารถและการทำงานหนักอย่างแท้จริง

พอมาถึงคิวฟุตบอลโลก 2022 อาจไม่ใช่เป็นการเซอร์ไพรส์อะไรนัก เวลส์โชว์ให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมสม่ำเสมอ พวกเขาแซงหน้าสก็อตแลนด์หรือไอร์แลนด์เหนืออีก 2 ชาติในสหราชอาณาจักร แบบไกลสุดกู่แล้ว

สมัยก่อนเวลส์ได้แต่มองสก็อตแลนด์กับไอร์แลนด์เหนือ ผ่านไปโลดแล่นในเวทีใหญ่ โดยเฉพาะทศวรรษ 80 ต่างกันอย่างลิบลับ

จริงๆเวลส์เองมีแข้งชั้นนำขึ้นมาประดับทีมตลอด ไม่ว่าจะเป็น เอียน รัช , มาร์ค ฮิวจ์ส , เนวิลล์ เซาธอลล์ , ไรอัน กิ๊กส์ หรือ แกรี่ สปีด

แต่เมื่อรวมตัวกันเป็นทีมแล้ว องค์ประกอบต่างๆยังไม่แข็งแกร่งพอ มาช่วงมีกองหน้าชั้นเซียน แต่เกมรับก็กลายเป็นปัญหา เวลส์จึงต้องยุติแค่รอบคัดเลือกเรื่อยมา ไม่สมหวังง่ายๆ

กระทั่งมายุคหลังได้ แกเร็ธ เบล ก้าวมาเป็นขุนพลคนสำคัญ บวกกับสมดุลของผู้เล่นแต่ละตำแหน่งมีศักยภาพมากพอ ไหนจะการเพิ่มจำนวนทีมเข้ารอบสุดท้าย อุปสรรคขวากหนามที่ขวางอยู่ตรงหน้า ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

นอกจาก เบล เรายังได้เห็นแข้งคนสำคัญที่ช่วยกันผลักดันอย่าง อารอน แรมซี่ย์ , เวย์น เฮนเนสซี่ย์ หรือ คริส กันเทอร์ ผนึกกำลังจนนำเวลส์ประกาศศักดาได้นั่นแหล่ะ

แล้วประตูสำคัญสยบยูเครนเพื่อแย่งตั๋วโซนยุโรปใบสุดท้าย ยังต้องยกเครดิตให้ เบล อีกต่างหาก เพราะเปิดฟรีคิกยัดเข้าไป จนทำให้ อันเดร ยาร์โมเลนโก้ โหม่งพลาดเข้าตัวเอง

อีกครั้งที่ เบล กลายเป็นฮีโร่ของชาวเวลช์ แสงไฟเสียงลั่นชัตเตอร์ล้วนแต่ส่องที่เขาทั้งสิ้น โดยที่ไม่ได้แคร์เลยว่าจะถูกตราหน้าว่าล้มเหลวหมดสภาพกับเรอัล มาดริด

เบล อาจเป็นตราบาปของแฟนบอลเรอัล มาดริด ที่ทนไม่ได้เห็นนักเตะค่าจ้างแพงสุด ถูกใช้งานอย่างไม่คุ้มค่าหรือพอลงไปเล่นก็แสดงอาการเหยาะแหยะ ไม่ทุ่มเทเต็มที่ จนกลายเป็นดราม่าอยู่บ่อยๆ

แต่ในมุมของนักเตะ ก็เจอกับการมุ่งโจมตีจากพวกสื่อ รวมทั้งได้รับการปฏิบัติบางอย่างที่ไม่เหมาะสมจากกองเชียร์เช่นเดียวกัน

เมื่อต้องเป็นเพียงแค่ส่วนเกินของทีม ถูกใครต่อใครไล่ให้ไปออกรอบกอล์ฟน่าจะเวิร์คกว่า มันก็น่าจะทำให้เขาไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมมากพอจะลงเล่นในเกมสำคัญ

อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนสีเสื้อมารับใช้ชาติ เบล กลายร่างเป็นอีกคน ที่เคยดูซึมกระทือเหนื่อยกับการเล่นให้สโมสร ก็เป็นกระฉับกระเฉง เปี่ยมไปด้วยแพสชั่น พร้อมลุยทุกสถานการณ์

มาถึงตรงนี้เมื่อสัญญาหมดลง เขาเองก็ดูไม่ได้แคร์มาดริดอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามน่าจะรู้สึกได้ว่าหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน แล้วค่อยมาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่

ด้วยวัยที่กำลังจะครบ 33 ปีในเดือนกรกฎาคมนี้ ดูแล้วร่างกายคงไม่ใช่ปัญหานักหรอก แสดงให้เห็นแล้วว่ายังช่วยเวลส์ได้สบาย ถ้าเรียกความฟิต ฟื้นสภาพอีกสักนิด เล่นในท็อปลีกไม่ยากเลย

นอกจากนี้สถานะฟรีเอเจ้นท์ ซึ่งจะไม่มีค่าตัว ยังช่วยขับให้ เบล ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นด้วย

ว่าแต่ทีมไหนบ้างจะยื่นข้อเสนอเข้ามา?

————————-

นับตั้งแต่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายมายูเวนตุสเมื่อปี 2018 แกเร็ธ เบล ก็ขึ้นแท่นกลายเป็นผู้เล่นค่าจ้างแพงสุดของเรอัล มาดริด ฟันนิ่มสัปดาห์ละราว 500,000 ยูโร

แต่เมื่อแทบไม่ได้ลงเล่นเป็นชิ้นเป็นอันช่วง 2-3 ปีหลัง เขาจึงถูกยัดเยียดความล้มเหลวให้ ทั้งที่อีกด้านไม่ค่อยได้รับโอกาสอย่างที่ควร

กระนั้นประเด็นที่ทุกคนมองมาเวลานี้คือเรื่องของอนาคต หลังหมดสัญญากับมาดริด จะมีทีมไหนเสี่ยงหรือเปล่าที่จะยื่นข้อเสนอมาให้

ที่ต้องบอกว่าเสี่ยง เพราะค่าจ้างที่เคยได้รับจากราชันชุดขาวมันสูงปรี๊ด ฉะนั้นเรื่องนี้จึงสำคัญ

อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่า เบล จะต้องเรียกร้องขอให้เท่าเรตเดิม มันคงเป็นไปได้ยาก ลดลงมากสักครึ่งหนึ่งหรือ 70 เปอร์เซนต์ล่ะ ถ้าอย่างนั้นคงพอเห็นช่องทาง

มันอาจจะจริงตรงที่ว่า เบล สอบไม่ผ่านเมื่อย้ายกลับมาเล่นให้ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ในฤดูกาล 2020/21 แต่ไม่ถึงกับแย่ตรงไหนเลย หากมองดูที่ตัวเลข 16 ประตูกับอีก 3 แอสซิสต์ จากทั้งหมด 34 นัด โดยที่เป็นตัวจริงในลีกแค่ 10 เกมอีกต่างหาก

ภาพที่ดูไม่ค่อยทุ่มเท ย่อมทำให้ใครต่อใครหวาดหวั่นใจเหมือนกัน แต่มันต้องดูองค์ประกอบหลายอย่างด้วย

เพราะเมื่อเล่นให้ทีมชาติ แพสชั่นมาเต็ม เราถึงพอจะบอกได้ว่า เบล ยังคงมีไฟอยู่และต้องการพิสูจน์ตัวเอง

นักข่าว MEN หรือแมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์ เคยแสดงความเห็นว่า ประสบการณ์ของ เบล น่าจะช่วยแมนฯยูไนเต็ดได้ โดยเฉพาะทดแทนพวกขาเก๋าที่จากไปอย่าง เอดินสัน คาวานี่ , เนมานย่า มาติช หรือ ฆวน มาต้า

นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของเขากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็อยู่ในขั้นดีเลยทีเดียว ไม่มีอะไรเลวร้าย กลับมาร่วมงานกันอีกคงไม่มีปัญหา

ขณะเดียวกันหลายคนยังอยากเห็น เบล ในยูนิฟอร์มของนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่เข้าสู่ช่วยเปลี่ยนผ่าน ได้กลุ่มทุนใหม่เข้ามาเทคโอเวอร์ ปรากฏว่าไปได้สวยงามเกินคาด

มีการลงความเห็นว่า เขาจะมาช่วยยกระดับทั้งในและนอกสนาม ทำให้เดอะ แม็กพายส์กลายเป็นทีมที่น่าสนใจเหมือนในยุค 90 อีกด้วย

เรื่องเงินถือว่าชิลด์มาก ผู้บริหารนิวคาสเซิ่ลยินดีจ่ายในเรตที่น่าพอใจ หากว่าอยากต้องการปิดดีลจริง

ดังนั้นติดตามดูอนาคตของ เบล กันให้ดีเถอะ อาจถูกมองข้ามบ้างในวันนี้ แต่เขายังมีทั้งเวลาและความสามารถให้พิสูจน์

แต่ขออย่างเดียวให้มีแพสชั่น เล่นแบบทุ่มเทเหมือนสวมชุดทีมชาติเวลส์อย่างที่เคยทำเอาไว้

ไม่แน่ว่าแฟนเรอัล มาดริด อาจรู้สึกเสียดายขึ้นมาบ้างก็ได้


Cheerball

แบ่งปัน