ย้อนรอยแชมป์ซีเกมส์ 2017 ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม

19

#ThrowbackSeagames ย้อนรอยแชมป์ ซีเกมส์ 2017 “เหรียญทอง” ครั้งล่าสุด ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม

“ทีมชาติไทย” ชุดแชมป์ซีเกมส์ 2017 เป็นชุดคว้าเหรียญทองที่ถูกสื่อและผู้สันทัดกรณีวิจารณ์กันอย่างหนักก่อนที่ทัวร์นาเมนต์จะเริ่มเสียอีก เพราะก่อนที่จะบินไปมาเลเซียในเวลานั้น ผลการอุ่นเครื่องแบบปิดไม่สู้ดีนัก เนื่องจากสไตล์การเล่นของ “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ เป็นสไตล์ “รัดกุมและเน้นผล” ก่อนที่จะก้าวไปคว้าแชมป์สมัยที่ 16 ด้วยการพิชิตเจ้าภาพท่ามกลางแฟนบอลที่ชาห์ อลัม สเตเดียม ไปแบบต้องลุ้นกันตลอด 90 นาที ถือเป็นอีกวันที่แฟนบอล “ช้างศึก” ได้ยิ้มออก แม้ตลอดทางเต็มไปด้วยเสียงวิจารณ์

การแข่งขันกีฬาฟุตบอลชายในซีเกมส์ เป็นการแข่งที่ต้องเน้นสภาพร่างกายอย่างมากกับโปรแกรมสุดหฤโหด 7 นัดใน 15 วัน ย้อนกลับไปในช่วงเวลาดังกล่าว โค้ชโย่ง เพิ่งเรียกนักเตะ 26 คน ก่อนการแข่งขันจะเริ่มในอีก 8 วันเท่านั้น ก่อนจะตัดตัวเหลือ 20 คน และในเวลานั้นทีมต้องพบกับปัญหามากมายไม่ว่าจะเป็นสภาพร่างกายของ ชัยวัฒน์ บุราณ ที่เจ็บจากเกมทีมชาติชุดที่ไปเล่นเกมรอบคัดเลือกชิงแชมป์เอเชีย มาก่อนหน้านี้ และ รัตนัย ส่องแสงจันทร์ นายด่านมือ 1 ที่ต้องถอนตัวออกไปเพราะอาการบาดเจ็บ

ทีมไทยมีเวลาเก็บตัวทั้งหมด 3 วันก่อนโดยเน้นไปที่สภาพร่างกายให้ฟิตพอกับการแข่งแบบวันเว้นวันและเหมือน โค้ชโย่ง จะรู้ล่วงหน้าว่าเจ้าภาพมาเลเซียจะให้เราต้องแข่งกลางแดดจึงให้นักเตะซ้อมแบบแบ่งทีมช่วงเวลาที่มีอากาศร้อนจัดเพื่อสร้างความคุ้นชินไว้ก่อน พร้อมทำการอุ่นเครื่องแบบปิดกับ อีสเทิร์น สปอร์ต ทีมจากฮ่องกงที่สนามบุญยะจินดา และผลการแข่งขันก็ไม่สู้ดีนักเสมอกันไป 1-1 เนื่องจากในเกมดังกล่าวทีมไทยชุดนั้นมีโอกาสยิงมากมายแต่ทำได้เพียงประตูเดียวเท่านั้น

เช้าของวันที่ 11 สิงหาคม 2017 สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้ประกาศรายชื่อนักเตะ 20 คนสุดท้ายที่จะเข้าร่วมการแข่งขันซีเกมส์ พร้อมหั่นรายชื่อ 6 นักเตะออกไปไม่ว่าจะเป็น ยศวรรธน์ มนทา, สันติภาพ จันทร์หง่อม, จิรัญญ์พงศ์ ธรรมสีหา, ภาณุเดช ใหม่วงค์ ส่วนที่แฟนบอลสะดุ้งคือการตัด 2 ผู้เล่นที่คิดว่าจะเป็นกำลังหลัก ได้แก่ “เต๋า” ธนาสิทธิ์ ศิริผลา โรนัลดินโญ่เมืองไทย และสตาร์ระดับมหาชน “เช็ค” ศุภโชค สารชาติ ที่ยุคนี้เขาคือขาประจำของทีมชาติไทยชุดใหญ่ เมื่อการประกาศรายชื่อออกมาเช่นนี้ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายบนโลกโซเชียล ส่วน โค้ชโย่ง ให้เหตุผลว่าที่ มาเลเซีย เราจะต้องเผชิญเกมหนัก 2 คนที่กล่าวมาอาจจะได้รับบาดเจ็บซํ้าซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจแก่ต้นสังกัดเป็นแน่ และอันที่จริงก็ไม่อยากตัดใครออกไปด้วยเพราะทุกคนคือแข้งตามสเป็กที่ต้องการ แต่กฎย่อมเป็นกฎ ต้องปฏิบัติตาม

ทัพทีมชาติไทยบิดลัดฟ้าถึงแดน “เสือเหลือง” ในวันที่ 12 สิงหาคม 2017 รอบแรกเราอยู่กลุ่ม B ร่วมกับ อินโดนิเซีย, ติมอร์ เลสเต, กัมพูชา, ฟิลิปปินส์และเวียดนาม ทางด้านของ โค้ชโย่ง เองต้องการให้เหล่าแข้งวัยฉกรรจ์ซ้อมช่วงเย็นทันทีแต่ปัญหาที่พบเจอคือ สนามซ้อมแบบเปิด เขากลัวว่าจะถูกสปายมาแอบส่องแผนการเล่น ด้าน “มาดามเดียร์” วทันยา วงษ์โอภาสีผู้จัดการทีมต้องรีบประสานงานเพื่อเปลี่ยนสนาม แต่เดินเรื่องมันต้องใช้เวลาทำให้ทีมชุดนี้ต้องซ้อมแบบเปิดอย่างนั้นถึง 2 วัน ก่อนที่จะได้ย้ายไปสนามแบบปิดในวันที่ 14 สิงหาคมเพียงวันเดียวก่อนที่จะจั่วหัวในรอบแรกกับ อินโดนิเซีย พร้อมทั้งต้องลุ้นอาการป่วยของ เจนรบ สำเภาดี หัวหอกกับตันทีมก่อนการแข่งจะเริ่ม

“เปิดหัวได้ไม่สวย”

ทีมชาติไทยกับรูปแบบเกมที่ไม่สู้ดีนักเสมอกับ “การูดา” อินโดนิเซียไป ด้วยสกอร์ยอดฮิต 1-1 ทั้งที่เราขึ้นนำไปก่อนจาก ชัยวัฒน์ บุราญ และพวกได้ได้ลูกจุดโทษจาก เซปเตียน เดวิด โดยหลังเกม โค้ชโย่ง ให้สัมภาษณ์ว่ามีปัญหาของ “หญ้า” ในสนาม รวมถึงคำพูดที่ว่า “ถ้าไม่ได้จุดโทษเขาก็ยิงเราไม่ได้” ทำให้โลกโซเชียลร้อนกันเลยทีเดียว ส่วนปัญหาที่ มาดามเดียร์ ต้องแก้เรื่องปัจจัยภายนอกคือ “อาหาร” ที่ต้องซื้อกันเอง ทางสมาคมฟุตไทยก็สามารถหาสนามซ้อมใหม่ได้ตามที่ต้องการ ส่วนค่าใช้จ่ายสมาคมฯ ควักเนื้อเอง ไม่ได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจ้าภาพแต่อย่างใด

“โซเชียลระอุอีกครั้ง”

ในเกมที่ 2 สถานการณ์ของทีมชาติไทยก็ถูกพูดถึงกันย่างมากมายหนักกว่าเกมแรกเสียอีกเพราะการที่ “ช้างศึก” ชนะ ติมอร์ เลสเต ชาติที่ไม่ได้เป็นเต้ยของฟุตบอลไปไปเพียงแค่ 1-0 จากการทำประตูของ “เจ้ายิม” วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ เพลย์เมกเกอร์ที่เติบโตมาเป็นกำลังสำคัญที่ขาดไม่ได้ของช้างศึก แต่ทว่า “ดาวทอง” เวียดนามสามารถชนะติดมอร์แบบไม่ระบมเกือกไป 4-0 และยังขู่เราด้วยการโชว์ฟอร์มแรงต่อเนื่องถล่มกัมพูชา 4-1 และเตะก่อนเราในวันเดียวกัน ส่วน โค้ชโย่ง ก็ติงลูกทีมเรื่องสภาพจิตใจและอยากให้มีความกระหายชัยชนะเพื่อการคว้าเหรียญทองซีเกมส์ครั้งนี้ สรุปตัวเขาก็โดนวิจารณ์อย่างหนักเสียยิ่งกว่าเกมแรกเสียอีก

“ความเปลี่ยนแปลงและแสงแห่งความหวังของช้างศึก”

หลังจบ 2 เกมแรก “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุลประธานพัฒนาเทคนิคฯ ได้บินมาช่วยดูแลทีมอีกหนึ่งแรง ส่วน โค้ชโย่ง ดูจะผ่อนปรนขึ้นเหมือนกับฟอร์มของทีมชาติที่เริ่มดีขึ้นตามลำดับด้วยการเอาชนะ กัมพูชา 3-0 และพิชิต ฟิลิปปินส์ 2-0 ทำให้ ทีมชาติไทยขึ้นไปรั้งอันดับ 2 ของกลุ่มมี 10 คะแนนเท่ากับเวียดนามแต่เป็นรองเรื่องลูกได้เสีย ด้าน อินโดนนิเซีย ก็จี้เรามาแบบหายใจรดต้นคอมี 8 คะแนนและเกมสุดท้ายพวกเขาพบกัมพูชาที่แพ้มาทุกเกม ถ้าชนะจะเข้ารอบด้วยการมี 11 คะแนนแค่คิดก็หวานเจี๊ยบแล้ว

กลับมาที่ ไทย ต้องพบงานหนักกับทีมที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเราคือ “เวียดนาม” ซึ่งใครชนะจะการันตีเข้ารอบเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มทันทีแต่ถ้าเสมอหรือแพ้เราก็มีโอกาสตกรอบแรกด้วยเช่นกัน ดังนั้นเกมนี้ก็เหมือนอีกเกมที่ถือเป็นการสอบปลายภาคของแข้งชุดนี้ว่าจะคว้าเหรียญทองซีเกมส์ได้หรือไม่ เริ่มเกม นักเตะไทยทุกคนค่อยๆ รีดฟอร์มเก่งออกมา ช่วงท้ายครึ่งแรก พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล มิดฟิลด์ไดนาโมที่การันตีตัวจริงในระดับทีมชาติชุดใหญ่ไปแล้ว บรรจงยิงฟรีคิกเจ้าไป ไทยขึ้นนำ 1-0 เปิดครึ่งหลังมา พิชา อุทรา กองกลางจอมขยันทำประตูได้จากจังหวะที่นักเตะดาวทองพลาดกันเอง จนแล้วจนรอดเหมือนเวียดนามจะมีความหวัง พวกเขาได้จุดโทษ แต่ทว่าดาวยิงระดับจักรวาล “เหงียน คองเฟือง” ยิงข้ามคานออกไปแบบเหลือเชื่อทำให้แข้งเหงียนต้องหัวใจแตกสลาย และเราก็ได้ประตูปิดกล่องจาก เจนรบ สำเภาดี อีกเป็น 3-0 สรุปคือ ไทย เข้ารอบเป็นที่ 1 และเวียดนามตกรอบแรกแบบชนิดที่ โค้ชเหงียนฮูธัง โดนปลดทันที ส่วนรอบรองชนะเลิศเราจะพบกับ เมียนมาร์ ในวันที่ 26 สิงหาคม

อย่างที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น โค้ชโย่ง เหมือนนกรู้เพราะเกมนี้สมาคมฟุตบอลมาเลเซีย ให้คู่ของเราเตะเวลา 4 โมงเย็นที่สนามชาห์ อลัม สเตเดียม ซึ่งเป็นเวลาที่ประเทศของเขาร้อนมากๆ เกมนี้นักเตะไทยโอกาสทำประตูเยอะกว่าตามชื่อชั้น แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างรวมถึงอากาศที่ระอุทำให้ความกดดันถาโถมใส่ฝั่งเรา สุดท้ายด้วยสภาพจิตใจและร่างกายที่เราเตรียมมาพร้อมมากกว่า เราสามารถเอาชนะ 1-0 ได้ในช่วง “นาทีบาป” นาทีที่ 94 จาก เจนรบ สำเภาดี หัวหอกตัวชูโรงโหม่งประตูชัยและเมียนมาร์เองก็ไม่สามารถแก้ตัวได้ ไทยได้เข้าชิงชนะเลิศกับเจ้าภาพ มาเลเซีย ที่เอาชนะ อินโดนิเซีย ด้วยสกอร์ 1-0 เช่นกัน

“บทสรุปของเหรียญทองฟุตบอลชายซีเกมส์ 2017”

ปัญหาก่อนแข่งรอบชิงฯ ก็มีมาอย่างไม่หยุดหย่อน เพราะวันแข่งรอบชิงวันที่ 29 สิงหาคมนั้นยังไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน เนื่องจากผู้จัดไม่พร้อมที่จะให้แข่งที่ บูกิต จาลิล สนามกีฬาแห่งชาติจึงต้องให้เล่นที่ ชาห์ อลัม สเตเดียม เหมือนกับรอบรองชนะเลิศแทน ในเวลา 20.45 น. ส่วนเวลาซ้อมอีก 2 วันเต็ม โค้ชโย่ง ให้นักเตะซ้อมตามโปรแกรมปกติ เน้นฟื้นฟูร่างกายและแบ่งทีมเล่นกันปกติ โดยไม่ให้นักเตะต้องกังวลใจเรื่องใดๆ ก่อนเกมสำคัญ

ในเกมรอบชิงชนะเลิศมีฝนตกลงมาไม่หยุด ไทยเราไม่สามารถต่อบอลได้ต่อเนื่อง แต่ทางฝั่งมาเลเซียเองก็ไม่ต่างจากเรา แต่แล้ว “ช้างศึก” ได้เฮก่อนในนาทีที่ 39 “เจ้าพี” ศศลักษณ์ ไหประโคน ยอดแข้งทีมชาติไทยชุดปัจจุบันผู้เคยไปค้าแข้งในเคลีกมาแล้ว เปิดลูกเตะมุมโค้งเข้ามาหาผู้รักษาประตูของ “เสือเหลือง” มูฮัมหมัด ฮาซิก ชกบอลผิดเหลี่ยมเข้าประตูตัวเอง ไทยขึ้นนำ 1-0 ในเกมนี้มีจังหวะกังขาจากผู้ตัดสินมากมาย แต่นักเตะของเรามีความมุ่งมั่น มีความเป็นหนึ่งเดียว ไม่หัวเสีย ไม่อารมณ์จากสิ่งที่ไม่เป็นใจ รวมถึงเสียงเชียร์กดดันจากแฟนบอลมาเลเซียกว่า 75,000 คน ช่วงเวลากว่า 45 นาทีในครึ่งหลังดูเหมือนเวลาที่ยาวนานของเหล่าแข้งหนุ่มพร้อมกับเหล่ากองเชียร์ไทยจดจอดูอยู่หน้าจอ สิ้นเสียงนกหวีดครบ 90 นาที ทีมชาติไทย คว้าแชมป์ฟุตบอลชายซีเกมส์สมัยที่ 16 และเป็นแชมป์ติดต่อกัน 3 สมัยรวด แม้จะไม่ได้โรยด้วยกลับกุหลาบ แต่ โค้ชโย่ง มาดามเดียร์ เจ้าหน้าที่ทุกคน รวมถึงนักเตะทีมชาติไทยทั้ง 20 ก็สามารถนำหยาดเหงื่อทุกหยุดเพื่อแลกความสุขกลับมาให้คนไทยได้ชื่นชมกันอีกครั้ง

#ช้างศึก #ทีมชาติไทย #TogetherAsOne #Changsuek #Thailand #บอลไทย #ฟุตบอลไทย #FAThailand #ช้างศึกU23 #ทีมชาติไทยU23 #Seagames #ซีเกมส์

แบ่งปัน