กินกันไม่ลง! เรือใบยังจ่าฝูงเปิดรังเจ๊าหงส์แดง 2-2

325

การเจอกันของสองทีมหัวตารางพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ จบลงด้วยผลเสมอ 2-2 ทั้งสองเกมที่พบกัน ทำให้จ่าฝูงยังเป็นเรือใบสีฟ้า

พรีเมียร์ลีก 2021-2022 คู่ซูเปอร์บิ๊กแมตช์ส่งท้ายโปรแกรมประจำสัปดาห์ที่ 32 เป็นการพบกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดรังเหย้า เอติฮัด สเตเดี้ยม ต้อนรับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล

เป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือเจ้าบ้าน เลือกจัดทัพมาในระบบ 4-3-3 ด้วยการใช้สามประสานแนวรุกเป็น ฟิล โฟเด้น, กาเบรียล เชซุส และ ราฮีม สเตอร์ลิง

ด้านทีมเยือนของ เยอร์เก้น คล็อปป์ วางหมากมาในแผน 4-3-3 เช่นกัน ใช้สามแนวรุกเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดิโอโก้ โชต้า และ ซาดิโอ มาเน

ออกสตาร์ทเกมเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น เป็นฝั่งของซิตี้มาได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ไหลบอลให้ เควิน เดอ บรอยน์ ซัดด้วยซ้ายหน้าเขตโทษแฉลบขาของ โฌแอล มาติป เช็ดเสาเข้าไป ส่งให้เรือใบสีฟ้าออกนำ 1-0

ทว่าถัดมานาทีที่ 13 ลิเวอร์พูลก็จัดการตามตีเสมอได้แบบทันควัน จากจังหวะที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เปิดบอลทางกราบซ้ายลึกไปเสาไกลให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ตบกลับเข้ากลางต่อให้ ดิโอโก้ โชต้า ตวัดแปด้วยขวาไม่เหลือ ทำให้สกอร์ขยับมาเท่ากันที่ 1-1

แต่แล้วนาทีที่ 36 แชมป์เก่าก็มาได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง จากจังหวะที่ เชา คันเซโล เปิดบอลทางกราบซ้ายเข้าเขตโทษให้ กาเบรียล เชซุส โฉบมาแปด้วยขวาจ่อ ๆ เช็ดคานเข้าไป ช่วยให้เจ้าบ้านนำอีกรอบ 2-1 ก่อนจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

กลับมาสู้กันต่อในครึ่งหลังได้ไม่ถึงนาที ลิเวอร์พูลก็มาได้ประตูตีเสมออีกครั้งเช่นกัน จากจังหวะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จ่ายทะลุช่องให้ ซาดิโอ มาเน เอี้ยวตัวแปด้วยขวาตุงตาข่าย ทำให้สกอร์กลับมาเท่ากันอีกรอบที่ 2-2

ต่อมานาทีที่ 63 เกือบจะได้ประตูขึ้นนำเป็นครั้งที่สาม จากจังหวะที่ เควิน เดอ บรอยน์ จ่ายทะลุช่องให้ ราฮีม สเตอร์ลิง หลุดเดี่ยวไปแปด้วยขวาตุงตาข่าย ทว่าโดน VAR ตีเส้นเช็คล้ำหน้าเสียก่อน

จากนั้นไม่มีประตูเกิดขึ้นเพิ่มเติมอีก ทำให้สุดท้ายจบเกมด้วยผลเสมอ 2-2 แบ่งกันไปทีมละแต้ม โดยแมนเชสเตอร์ ซิตี้มีเพิ่มเป็น 74 แต้ม ครองจ่าฝูงต่อไปด้วยการนำห่างอันดัน 2 ซึ่งก็คือลิเวอร์พูลที่มีเพิ่มเป็น 73 แต้ม อยู่เพียงแค่ 1 แต้มเท่าเดิม รวมถึงทำให้ทั้งสองเกมที่คู่นี้พบกันในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ จบลงด้วยผลเสมอ 2-2 เหมือนกันอีกด้วย

รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน; ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์, อายเมอริค ลาปอร์กต์, เชา คันเซโล; เควิน เดอ บรอยน์, โรดรี้ เอร์นานเดซ, แบร์นาร์โด้ ซิลวา; ฟิล โฟเด้น, กาเบรียล เชซุส (แจ็ค กรีลิช น.83), ราฮีม สเตอร์ลิง (ริยาด มาห์เรซ น.75)

สำรองไม่ได้ใช้ : นาธาน อาเก้, อิลคาย กุนโดกัน, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้, แซ็ค สเตฟเฟน, แฟร์นานดินโญ, เจมส์ แม็คอาตี้, โรเมโอ ลาเวีย

ใบเหลือง – แบร์นาร์โด้ ซิลวา น.40

ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลิสซอน เบ็คเกอร์; เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติป, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน; จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (นาบี เกอิต้า น.78), ฟาบินโญ, ติอาโก้ อัลคันทารา; โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดิโอโก้ โชต้า (หลุยส์ ดิอาซ น.70), ซาดิโอ มาเน (โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน น.84)

สำรองไม่ได้ใช้ : อิบราฮิมา โกนาเต้, เจมส์ มิลเนอร์, โจ โกเมซ, เคอร์ติส โจนส์, คอสตาส ซิมิคาส, ควีวีน เคลเลเฮอร์

ใบเหลือง – แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน น.28, ติอาโก้ อัลคันทารา น.61, ฟาบินโญ น.83, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ น.89

ขอบคุณที่มา goal.com

แบ่งปัน