วิเคราะห์หลังเกม “ฟีฟ่า เดย์” กับชัยชนะที่ทัพ “ช้างศึก” คู่ควร

14

#แบกเป้ดูบอลไทย By #เก้นนิติพงษ์

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยกับสองเกมสำคัญในโปรแกรม “ฟีฟ่า เดย์” ที่สุดท้ายก็เป็นทัพ “ช้างศึก” ภายใต้การนำของกุนซือใหญ่อย่าง มาโน่ โพลกิ้ง ที่สามารถกวาดชัยมาครองได้ทั้งสองเกม

หากเรามองด้วยอันดับ “ฟีฟ่า แรงกิ้ง” ก่อนเกม ก็ต้องพูดกันตรงๆ ว่าเราค่อนข้างเป็นต่อทั้ง เนปาล และซูรินาม แต่สุดท้ายถ้าใครที่ได้ติดตามเชียร์ทั้งสองเกม ก็คงจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือเกมที่ “ไม่ง่าย” และเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้ และทดสอบกับแทคติกทุกๆ แง่มุมทั้ง “เกมรุก – รับ”

ในแมตช์แรกที่เราพบกับ เนปาล เราต้องเผชิญกับเกมรับของทีมเยือนที่ทำการบ้านมาได้ดี จนบีบให้รูปเกมที่ออกมาในช่วง 45 นาทีแรกนั้นเต็มไปด้วยความอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่เราจะมาได้สองประตูจาก ฟิลิป โรลเลอร์ และเชาว์วัฒน์ วีระชาติ ที่ช่วยคลายความกดดัน และลดแรงเสียงทานจากแฟนบอลที่ต่างคาดการณ์ว่าเกมนัดนี้จะเป็นแมตช์ที่เราได้ทดสอบประสิทธิภาพในเกมรุกอย่างเต็มตัว

ซึ่งก็จริงครับ เพราะ มาโน่ โพลกิ้ง และลูกทีมพยายามที่จะหาช่องในการเข้าทำให้หลากหลายรูปแบบมากที่สุด แต่การต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่แพคเกมรับได้แน่น และละเอียดมากๆ นั้นเป็นอุปสรรคที่เราจำเป็นต้องหาทางแก้ไขเพื่อทำประตูให้ได้ ต้องยกเครดิตให้กับฝั่ง เนปาล ที่เดินทางมาเล่นเกมนี้ด้วยความมุ่งมั่น และก็ต้องชมนักเตะไทยที่เล่นได้อย่างอดทน จนนำมาสู่ชัยชนะที่เราต้องการได้สำเร็จ

นี่คือบทเรียนด่านสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากสถานการณ์ที่จำเป็นต้องเปิดเกมรุกเข้าใส่เต็มตัวว่าสุดท้ายแล้ว เราจะเต็มไปด้วยความเด็ดขาด ความกระหายมากน้อยแค่ไหน

แมตช์ต่อมากับ ซูรินาม ซึ่งเกมนี้ผมมองว่าเป็นอีกหนึ่งนัดที่ยอดเยี่ยมในแง่ของการได้เรียนรู้ประสบการณ์ยามต้องต่อกรกับทีมที่มีนักเตะค้าแข้งอยู่ในลีกที่แทบจะมีมาตรฐานสูงกว่าบ้านเราทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีปัจจัยเรื่อง สรีระ และความแข็งแกร่งตามแบบฉบับนักเตะจากอเมริกาใต้ + แคริบเบียน + ยุโรป ซึ่งน้อยครั้งที่เราจะมีโอกาสได้สัมผัสกับทีมที่มีรายละเอียดครบเช่นนี้

เกมกับ ซูรินาม ทำให้เราได้เห็นทั้งในมุมที่ดี และมุมที่เราจำเป็นต้องนำกลับไปปรับปรุง ไล่มาตั้งแต่เกมรุก และความมั่นใจของทุกคนในสนามที่สะท้อนออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม นี่คือ 45 นาทีที่แสดงให้เห็นได้ค่อนข้างชัดว่าทีมชาติไทยนั้นเหนือกว่าคู่แข่ง อีกทั้งยังมีจังหวะได้จบสกอร์แบบถึงน้ำถึงเนื้อ มีการเซ็ตบอลเข้าทำที่ชัดเจนทั้งจากพื้นที่ริมเส้น และพื้นที่ในแดนกลาง ความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะในแนวรุกที่ปั่นป่วนแผงหลัง ซูรินาม ได้อย่างเมามัน นั่นคือสิ่งที่ มาโน่ โพลกิ้ง ได้ใส่ดีเอ็นเอฟุตบอลตามแบบฉบับของตัวเขาเองลงไปในทีมชุดนี้ได้อย่างลงตัว และกลมกล่อม

แต่ฟุตบอลเล่นกัน 90 นาที เราเห็นได้ค่อนข้างชัดเหมือนกันว่า ทีมชาติไทยสูญเสียการครองเกมไปพอสมควร และเปิดโอกาสให้ ซูรินาม ได้ลุ้นจบสกอร์อยู่หลายหน ซึ่งโอกาสในแต่ละครั้งของ ซูรินาม ก็ใกล้เคียงกับการได้ประตูเอามากๆ

มันน่าคิดตรงที่ว่า ถ้าเราเปลี่ยน ซูรินาม มาเป็นคู่แข่งในทวีปอย่าง ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ หรือแม้แต่ชาติในตะวันออกกลางที่ล้วนแต่เขี้ยวลากดิน โอกาสที่เราจะโดนปิดบัญชีจากความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นเช่นกัน

แต่ถ้าเรามองในมุมของการได้มีเวทีทดสอบนักเตะใหม่ๆ ทั้งที่ไม่เคยผ่านเกมทีมชาติชุดใหญ่เลยแม้แต่เกมเดียว หรือร้างเวทีทีมชาติไปนาน ตลอดจนนักเตะสายเลือดใหม่ที่ได้รับโอกาสลงสนามแทนที่แข้งตัวหลักที่ไม่ได้ถูกเรียกมาติดทีมชุดลุย “ฟีฟ่า เดย์” รอบนี้ ผมถือว่านี่คือสองแมตช์ที่น่าประทับใจที่เราสามารถก้าวเดินออกจากสนามในฐานะ “ผู้ชนะ” ได้ และผมเชื่อว่าเกมอุ่นเครื่องครั้งต่อไปของทัพ “ช้างศึก” นั้นน่าจะถึงคิวของทีมที่แข็งแกร่ง และมีอันดับฟีฟ่า เดย์ ที่เหนือกว่าเรา และมีความเชื่อมโยงในเรื่องของสไตล์การเล่นที่ใกล้เคียงชาติที่เราจะต้องลงดวลในศึกเอเชียน คัพ รอบคัดเลือก ณ ประเทศอุซเบกิสถาน (อุซเบกิสถาน, มัลดีฟส์ และศรีลังกา)

สรุปง่ายๆ ได้ใจความ นี่เป็นสองเกมที่เราได้เห็นทั้งข้อดี – จุดอ่อนของตัวเองเพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาให้ทีมพร้อมที่สุดก่อนไปลุยสามเกมสำคัญที่ อุซเบกิสถาน และท้ายที่สุด เราสามารถเดินออกจากสนามในฐานะ “ผู้ชนะ” กับ “ชัยชนะที่คู่ควร” ได้ครับ

#เก้น #นิติพงษ์ยวนตระกูล ผู้จัดการสื่อสารการตลาด & มีเดีย หนุ่มเมืองเหนือไฟแรง : ผู้บรรยายฟุตบอล และบรรณาธิการกีฬา ที่คลั่งไคล้มนต์เสน่ห์ลูกหนังอย่างจริงจังโดยเฉพาะฟุตบอลไทย จนตัดสินใจยกหัวใจให้ “เกมลูกหนัง” เป็นตัวนำทางชีวิต

#ช้างศึก​​ #ทีมชาติไทย #ฟุตบอลทีมชาติไทย #TogetherAsOne #Changsuek #Thailand #บอลไทย #ฟุตบอลไทย #FAThailand #FIFADay

แบ่งปัน